คิดให้ดีต้องมี Optimize

วันก่อนไปอ่าน เอกสารเครื่องเล่น CD NAD เขาเล่าเรื่อง การออกแบบ ว่าใช้หลัก 10/10 น่าสนใจมาก คือ ไม่ได้บอกว่าของเขาดีที่สุดในตลาดนะ แต่ เขาบอกว่า เขาออกแบบให้คุณภาพดีในราคาดี และ ต้องใช้เงิน 10 เท่า ถึงจะทำให้ดีกว่าเขาได้ 10% เท่านั้น ในการ สร้างผลิตภัณฑ์ สำคัญด้วยว่า เรา ต้องรู้ position ของเราว่า อยู่ที่ไหน ใคร คือ ลูกค้า ทำให้เข้าใจได้ว่าบริษัท NAD ที่อยู่มานานนี่ เพราะเขาเข้าใจ เทคโนโลยี เข้าใจ ที่ยืนตัวเองในโลก และ เข้าใจ ลูกค้าดี ว่า กลุ่มใหญ่ อยากได้ ของดีราคาไม่แพง

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงตอนลงเรียนวิชาต่างๆ ในระดับปริญญาเอก กลยุทธที่ผมใช้ คือ เก็บแรงไว้ใช้ให้เหมาะสม เราจะพอรู้ว่า สอบทั้งเทอมนี่ เกิน 85 ก็ได้ A แล้ว เวลาเรียนเลยไม่เคย Top เลย แต่ได้ A กับเขาเหมือนกันและหลายวิชาด้วยเพราะใช้แรงพอดีพอดี จะ Top ทำสัก 95 คงต้องลงแรงหลายเท่า แต่ไม่ว่า 87 หรือ 95 เกรดออกก็มา A เหมือนกัน เอาไปเวลาที่ประหยัดได้ นั่งทำวิจัยดีกว่า ความรู้ก็ได้เท่ากันแต่เราไม่ได้ลงแรงทำแบบฝึกหัดละเอียดมากมากเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่ง คือ นานมาแล้ว ได้คุยกับวิศวกรคอมพิวเตอร์ของบริษัท Sun Microsystems เขาสอนผมเรื่องหนึ่งที่ใช้มาชั่วชีวิต คือ Principle of Balanced Design นั่นคือ การออกแบบระบบต้องรักษาสมดุลย์ เช่น คอมพิวเตอร์ ถ้าเราใส่ CPU ที่แพงและเร็วได้ แต่หน่วยความจำมันช้า ระบบก็จะไม่สมดุลย์ ทางไปก็มีสองทาง คือ หาหน่วยความจำเร็วๆ มาใส่ ทำให้เครื่อง เร็วทั้งหมด แต่ ระบบจะแพง ต้องหาคนที่อยากได้ของแพงแต่ ดีมาก อีกทาง คือ ลด CPU ลงมาช้าเท่าหน่วยความจำ ทำให้ ได้ระบบราคาถูก ลูกค้าก็อีกแบบ ให้จำไว้ว่า ความเร็วสูงสุดของระบบ จะเท่ากับ ส่วนที่ช้าที่สุดครับ อันนี้ก็ยอดวิชาอีกอัน เราต้องการสร้างระบบที่ Optimized ให้ลูกค้าขึ้นกับการใช้งาน อ้อ ว่างๆ จะมาเล่าความสุดยอด พลิกแพลงของกฎง่ายๆ ในการออกแบบคอมพิวเตอร์เรียกว่า Amdahl’s Law ให้ฟังนะครับ

ในการเป็นครูสอนนักเรียนให้เป็นวิศวกร สิ่งที่สำคัญคือสอนนักเรียนให้เข้าใจเรื่อง ความคุ้มค่า และการ Optimize solution ในแง่ของ เวลา คุณภาพ และ ค่าใช้จ่าย ให้ลูกค้า หรือ คนที่เราทำงานได้ ได้ของที่ดีที่สุด ภายใต้ ขีดจำกัด และ สภาพแวดล้อมเหล่านั้น ต้องหาจุดสมดุลย์ ให้ได้ ครับ อย่างน้อย ต้องมีทัศนคติ ที่จะ Optimize เสมอครับ